โลกธุรกิจในปัจจุบันหมุนเร็วกว่าอดีตหลายเท่าตัว เนื่องจากสภาพแวดล้อมการทำธุรกิจที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว รวมถึงสถานการณ์โลกที่มีความไม่แน่นอนสูง ดังนั้นโมเดลการหาพาร์ทเนอร์จับมือร่วมกันทำธุรกิจเพื่อเติมเต็มและใช้จุดแข็งเสริมความแกร่งกันและกัน ย่อมเป็นวิธีที่จะสร้างความเติบโตแบบก้าวกระโดด ดังที่เราจะเห็นได้จากการเติบโตของ “สบาย เทคโนโลยี” ในช่วงหลายปีมานี้
คุณวิรัช มรกตกาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานพาณิชย์และการลงทุน บริษัท สบาย เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เวนดิ้งพลัส จำกัด ในเครือกลุ่ม SABUY กล่าวว่า การหาพาร์ทเนอร์ร่วมกันทำธุรกิจ นอกจากจะทำให้ธุรกิจเติบโตได้เร็วแล้วยังทำให้ธุรกิจเดินทางไปได้ไกลกว่าการทำคนเดียว Collaboration จึงเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับบริษัทซึ่งมี Mission Statement ที่ชัดเจนว่า กลุ่มสบายเป็น Open Platform ที่พร้อมต้อนรับพาร์ทเนอร์ทุกรายมาจับมือทำงานร่วมกัน
“เรามีความเชื่อในสปิริตของการเปิดกว้างและจับมือทำงานร่วมกัน ที่ผ่านมานอกจากการเติบโตจากภายในเราเติบโตเพิ่มในสองมิติ คือมิติของการเข้าซื้อกิจการและมิติที่เราร่วมมือทำ Collaboration กับพาร์ทเนอร์ผ่านโมเดลที่หลากหลาย ซึ่งเราเชื่อว่าจะสร้าง Power ในการเติบโตทั้งในเรื่องของแบรนด์ ยอดขาย เอนเกจเม้นต์ และความพึงพอใจของลูกค้า”
ตามที่เกริ่นว่าโมเดล Collaboration ที่กลุ่มสบายทำร่วมกับพาร์ทเนอร์มีความหลากหลาย ยกตัวอย่างการจับมือกับโอสถสภากับ คาราบาว เป็นการจับมือกันเพื่อโปรโมทช่องทางการขายผ่านทางตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ หรือเวนดิ้งแมชชีน อย่าง “เวนดิ้งพลัส” หรือการจับมือกับแพลตฟอร์อีคอมเมิร์ซอย่าง Shopee และ Lazada มีวัตถุประสงค์การนำคะแนนมาแลกน้ำดื่มผ่านตู้เวนดิ้งพลัสของเราเช่นกัน
และเมื่อปลายปีที่ผ่านมาการจับมือระหว่างสบาย เทคโนโลยี และเทโร เอ็นเทอร์เทนเม้นท์ (TERO X SABUY) ถือเป็นโมเดล Collaboration ที่น่าจับตา เพราะเป็นการผนึกกำลังด้านสื่อโฆษณาและเทคโนโลยี เชื่อมต่อธุรกิจบันเทิงอย่างครบวงจร ที่จะสร้างมูลค่าสื่อจากหลากหลายมิติ ผ่านโมเดลร่วมทุนเปิดตัวบริษัท TERO SABUY Company Limited ในสัดส่วน 50:50
คุณวิรัช มั่นใจว่า TERO X SABUY เป็นสมการ 1+1 มากกว่า 2 เพราะใช้จุดแข็งด้าน Digital Media & Marketing จากกลุ่ม เทโรฯ เข้ากับ Technology & Payment Platform รวมถึงช่องทางออฟไลน์ของกลุ่มสบายต่างๆ เพื่อสร้างโอกาสในการเข้าถึงผลิตภัณฑ์สินค้าและบริการภายใต้เครือสบายได้หลากหลายยิ่งขึ้น ทั้งยังทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายสามารถขยายฐานลูกค้าได้ครอบคลุมทั่วประเทศ เนื่องจากกลุ่มสบายเป็นแบรนด์มหาชนซึ่งมีธุรกิจที่จับกลุ่มฐานรากและอยู่ในต่างจังหวัด มีฐานลูกค้ารวม 50 ล้านคนให้บริการธุรกรรมทางการเงินผ่านตู้เติมเงิน “เติมสบายพลัส”, จำหน่ายเครื่องดื่มและอาหารผ่านตู้ขายสินค้าอัตโนมัติ “เวนดิ้งพลัส”, ให้บริการจัดการศูนย์อาหาร, ธุรกิจซักอบผ้าแบบบริการตัวเอง หรือ SABUY Wash, ธุรกิจสะดวกส่งในเครือ เช่น ร้านชิปป์สไมล์, พลัส เอ็กซ์เพรส หรือในธุรกิจ CRM และธุรกิจ e-Wallet / e-Money
ในขณะที่ เทโรฯ เป็นแบรนด์ที่มีความชัดเจนในการจับตลาดคนรุ่นใหม่ที่อยู่ในเมือง มีฐานลูกค้าครอบคลุม 20 ล้านคน ประกอบธุรกิจโฆษณา รายการโทรทัศน์ คลื่นวิทยุเอฟเอ็ม 2 สถานี วิทยุออนไลน์ 4 สถานี ธุรกิจงานแสดง อีคอนเสิร์ต อีเวนท์ ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ และการจำหน่ายสินค้าผ่าน Thailandpostmart
“หลังจากจับมือกันกลุ่มสบายจะเติบโตแบบก้าวกระโดดในแง่ของ User เพราะฐานลูกค้าทั้งเราและเทโรฯ รวมกันน่าจะเข้าถึงตลาดได้เกิน 60 ล้านคน หรือมากกว่า 90 % ของประชากรทั้งหมด นี่คือหัวใจสำคัญที่เราวัด Brand Value ที่ได้จากการร่วมมือ”
โปรเจ็กต์แรกหลังการร่วมทุนในนาม TERO SABUY คือการ Collaborate ร่วมกันระหว่างบริษัทในเครือเพื่อเติบโตคูณสอง ด้วยความร่วมมือกันระหว่าง Vending Plus x TERO SABUY ทำการผลิตน้ำดื่มภายใต้แบรนด์ TERO SABUY คาแร็กเตอร์การ์ตูน ลายอุลตร้าแมน Limited Edition และวางแผนจำหน่ายผ่านทางช่องทางตู้เวนดิ้งแมชชีนของบริษัทเวนดิ้งพลัส ในเครือกลุ่มสบายทั่วประเทศ ซึ่งการ Collaborate กันในครั้งนี้ถือเป็นโปรเจ็กต์แรกที่สร้างให้การ Collaboration ได้เกิดผลงานเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน จากการ์ตูนอุลตร้าแมนที่เทโรฯ ได้ลิขสิทธิ์มาฉายในรายการการ์ตูนดังสุดสัปดาห์ทางช่อง 7 ได้มาต่อยอดกับน้ำดื่มและ ตู้เวนดิ้งพลัสที่ทางบริษัทเวนดิ้งพลัสในเครือกลุ่มสบายดำเนินการอยู่แล้ว ซึ่งทางเวนดิ้งพลัสเอง ในทุกปีก็จะมีการผลิตน้ำเป็น Seasonal Edition อยู่แล้ว ในปีที่แล้วก็มีการซื้อลิขสิทธิ์ผลิตน้ำดื่มลายการ์ตูนโดราเอมอน
คุณวิรัชให้เหตุผลที่เลือกทำน้ำดื่มก่อนเป็นโปรเจ็กต์แรกว่าจะสามารถสร้าง Impact ให้เกิดขึ้นได้ทันที เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ทั้ง 2 มีอยู่ในมืออยู่แล้ว แค่เพิ่มเติมในแง่ของไอเดียและออกแบบผลิตภัณฑ์ก็จะสร้างการเติบโตแบบ V Shape ตั้งแต่ Day 1
“เหมือนเราทั้งคู่ (เวนดิ้งพลัส และ เทโร สบาย) มีวัตถุดิบในครัวอยู่แล้ว แค่คิดว่าจะเอามาทำเมนูอะไรก็พร้อมปรุงเสิร์ฟตลาดได้ในทันที ซึ่งน้ำดื่มลายอุลตร้าแมนเป็นโปรเจ็กต์ที่ใช้เวลาทำงานเพียง 4 เดือนก็สามารถออกจำหน่ายได้แล้ว เมื่อเทียบกับน้ำดื่มลิขสิทธิ์อื่นๆ ที่เราต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าครึ่งปี เตรียมการก่อนจะออกจำหน่ายได้”
นี่จึงเป็นบทพิสูจน์ว่าโมเดล Collaboration ไม่ว่าจะในแง่ของกลุ่ม SABUY กับพาร์ทเนอร์อื่นๆ หรือแม้แต่การ Collaborate กันเองภายใน SABUY สามารถเข้ามาสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันได้เป็นอย่างดี โดยเวนดิ้งพลัสได้คาดการณ์ว่าน้ำดื่ม ลายอุลตร้าแมนจะมียอดขายไม่ต่ำกว่า 10 ล้านขวด ภายในเวลา 2 ปี หรือเพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับน้ำดื่มอื่นที่เราเคยทำมา นอกจากนั้นแล้วเรายังจะมีการโปรโมทการตลาดร่วมกันผ่านทางช่องทางตู้ขายสินค้าอัตโนมัติเวนดิ้งพลัสที่เพิ่มเป็น 9,000 ตู้จากเดิม 6,000 ตู้ ครอบคลุม 51 จังหวัด จากเดิม 20 จังหวัด เข้ามาเป็นส่วนเสริมกำลังอีกด้วย
แน่นอนว่าในอนาคต จากการจับมือในภาพใหญ่อย่าง TERO X SABUY จะมีโปรเจ็กต์ใหม่ที่สร้าง Impact มากขึ้น อาทิ นำธุรกิจในกลุ่มสบาย เพิ่มความสะดวกสบายในงานคอนเสิร์ตของเทโรฯ โดยใช้ NFC Card ที่กลุ่มสบายมีโรงงานผลิตไว้สำหรับจับจ่ายซื้อสินค้าและอาหาร ซึ่งกลุ่มสบายจะนำระบบศูนย์อาหารลงไปให้บริการในงานด้วย รวมถึงจุดรับส่งพัสดุชิปป์สไมล์ เซอร์วิสสำหรับให้ ผู้ร่วมงานที่ต้องการส่งสินค้า ซึ่งบริการทุกอย่างสามารถใช้ NFC Card สะสมแต้มเพื่อซื้อสินค้า Merchandise ของเทโรฯ ภายในงานได้ เป็นต้น
โปรเจ็กต์ต่อมาเป็นธุรกิจคอมเมิร์ซ จากการที่เทโรฯ มีร้านไปรษณีย์ออนไลน์ Thailandpostmart และกลุ่มสบายมีร้านสะดวกส่งในเครืออีก 6 แบรนด์ 14,000 จุด สามารถนำมาผนวกกันเป็นหน้าร้านรับ-ส่งพัสดุ ออกหลักฐานการชำระเงิน และช่องทางโปรโมทเพื่อสร้างพลังการขายให้กับผู้ประกอบการ SMEs และแม่ค้าในกลุ่ม Influencer
และอีกหนึ่งโปรเจ็กต์ เป็นการนำสื่อโฆษณาบนตู้ Vending Machine ของเวนดิ้งพลัส ที่มีอยู่ประมาณ 4,500 ตู้ (ตู้ที่จอทัชสกรีน) มาใช้สนับสนุนแคมเปญ และกิจกรรมทางการตลาดให้กับเทโรฯ
จากโปรเจ็กต์ในอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ สามารถสรุปได้ง่ายๆ ว่า เป็นนำจุดแข็งของทั้ง 2 ฝ่าย มายกระดับไลฟ์สไตล์ให้ผู้บริโภค กล่าวคือ เทโรฯ มอบไลฟ์สไตล์ที่มีความสนุกสนาน ส่วนกลุ่มสบาย มอบไลฟ์สไตล์ที่มีความสะดวก
คุณวิรัช กล่าวถึงหลักการเลือกพาร์ทเนอร์เพื่อทำงานร่วมกันว่า Chemistry เป็นองค์ประกอบที่กลุ่มสบายให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก
“ผมคิดว่าพาร์ทเนอร์หลายๆ คนที่เราร่วมงานกันจนประสบความสำเร็จ เพราะเรามีเคมีที่ตรงกันมาเจอกันแล้วมันคลิก ดังนั้นการพูดคุยในครั้งแรกๆ หรือ First Impression เป็นเรื่องที่สำคัญ แต่อีกหนึ่งองค์ประกอบที่มีความสำคัญไม่น้อยกว่ากันคือ Integrity ของพาร์ทเนอร์ เพราะอย่าลืมว่าโลกวันนี้มีความอ่อนไหวกับข่าวประเด็นดราม่า หากพาร์ทเนอร์มี Integrity เราก็ไม่ต้องกังวลกับปัญหาที่จะทำให้ภาพลักษณ์เกิดความเสียหาย ในเคสของเทโรฯ เรามองว่า กลุ่มสบายมีอายุ 8 ปี ทำธุรกิจที่มีใบอนุญาตเยอะ เราจึงให้น้ำหนักกับ Integrity เทโรฯ มีอายุ 24 ปี ประกอบกับ คุณไบรอัน ซึ่งเป็นซีอีโอเป็นผู้ที่มีชื่อเสียง ดังนั้นเราจึงไม่มีข้อกังขาในเรื่องนี้ บวกกับการที่เทโรฯ ในวันนี้อยู่ช่อง 7 ซึ่งคุณกฤตย์ เป็นคนเก่งที่ได้รับการยอมรับ เหล่านี้ช่วยกลั่นกรองให้เราตัดสินใจร่วมมือกันได้ไม่ยาก”
นอกจากนี้การร่วมมือแต่ละครั้ง กลุ่มสบายจะไม่คิดเรื่องผลประโยชน์หรือ Financial Model เป็นที่ตั้ง แต่มองถึงพลังที่จะเกิดขึ้น และเลือกที่จะทำงานด้วยกันอย่างสบายใจ เพราะจะทำให้กระบวนการทำงานเป็นไปอย่างรวดเร็วโดยอัตโนมัติ
ที่มา : BrandAge Online